1.ด้านกายภาพ
1.1 ที่ตั้งของหมู่บ้านหรือชุมชนหรือตำบล

มีอาณาเขตติดต่อดังนี้
ทิศเหนือ ติดต่อกับ ตำบลป่าเมี่ยง และตำบลเชิงดอย อำเภอดอยสะเก็ด
ทิศใต้ ติดต่อกับ ตำบลห้วยทราย อำเภอสันกำแพง
ทิศตะวันออก ติดต่อกับ ตำบลบ้านสหกรณ์ อำเภอแม่ออน
ทิศตะวันตก ติดต่อกับ ตำบลป่าป้อง และตำบลแม่ฮ้อยเงิน อำเภอดอยสะเก็ด
จำนวนหมู่บ้าน ในเขตปกครองของ เทศบาลตำบลแม่โป่ง(Villages) เทศบาลตำบลแม่โป่งมี 10 หมู่บ้านในเขตปกครองได้แก่
หมู่ที่ 1 |
บ้านตลาดขี้เหล็ก |
หมู่ที่ 2 |
บ้านป่าไผ่ |
หมู่ที่ 3 |
บ้านห้วยบอน |
หมู่ที่ 4 |
บ้านแม่โป่งหลวง |
หมู่ที่ 5 |
บ้านพระนอนแม่โป่ง |
หมู่ที่ 6 |
บ้านห้วยอ่าง |
หมู่ที่ 7 |
บ้านต้นผึ้ง |
หมู่ที่ 8 |
บ้านแม่ฮ่องไคร้ |
หมู่ที่ 9 |
บ้านป่าไม้แดง |
หมู่ที่ 10 |
บ้านห้วยบ่อทอง |
ประวัติความเป็นมา ของตำบลแม่โป่ง
จากการศึกษาเอกสารและคำเล่าขานนานมา พอเริ่มต้นได้ว่า ผืนแผ่นดินลุ่มน้ำกว้างใหญ่มองไป
ทางทิศตะวันออกจากยอดดอยสุเทพที่สูงสง่าอยู่ทางทิศตะวันตกของเมืองเชียงใหม่ทอดสายตาข้ามฝั่งแม่น้ำปิงไปทางทิศตะวันออก เห็นพื้นที่ลุ่มน้ำล้านนา เรียกชื่อรวมกันว่า “ลุ่มน้ำแม่กวง” เป็นที่ตั้งถิ่นฐานของชุมชนคนลุ่มน้ำย่อยตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ลาดเอียงตามเส้นทางสายน้ำไหลเริ่มจากผืนป่าใหญ่ตั้งแต่ทิศตะวันออกเฉียงเหนือไปทางทิศตะวันออก เอียงละม้ายสู่ทางทิศใต้ รวมเป็นพื้นที่แอ่งเชียงใหม่-ลำพูน ฝั่งตะวันออก เป็นแหล่งกำเนิดสายธารจากป่าต้นน้ำ ไหลมาจากร่องขุนเขาผีปันน้ำ ตั้งแต่ยอดดอยนางแก้ว ยอดดอยลังกา เทือกเขาใหญ่แนวกั้นเขตแดนเมืองเชียงใหม่ เชียงรายและลำปาง ร่องลำห้วยเล็กใหญ่ประกอบด้วย ลำน้ำห้วยคัง -ลำน้ำแม่กวง-ลำน้ำแม่หวาน-ลำน้ำแม่วอง-ลำน้ำแม่ลาย-ลำน้ำแม่ดอกแดง-ลำน้ำแม่โป่ง-ลำน้ำ แม่ออนและลำน้ำแม่ทา ลำน้ำทุกสายไหลมาสมทบรวมกันเป็นระยะ ๆ ตามสภาพลาดเอียงตั้งแต่ต้น กลาง ปลาย ของสายน้ำ รวมเป็นแม่น้ำกวงสายใหญ่ ไหลผ่านพื้นที่อำเภอดอยสะเก็ด สันทราย สันกำแพง สารภี จังหวัดเชียงใหม่ ผ่านอำเภอเมืองลำพูน สบกับน้ำแม่ทาซึ่งไหลมาจากต้นน้ำฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ของแนวเทือกเขาทอดไปติดต่อเขตพื้นที่จังหวัดลำปาง และไหลลงสู่น้ำปิง ในเขตพื้นที่อำเภอป่าซาง จังหวัดลำพูน สองข้างฝั่งลุ่มน้ำตลอดสายที่แผ่กระจายไปด้วยความอุดมของดินดำ น้ำชุ่ม หลากหลายพืชพรรณธัญญาหาร บนผืนสวนทุ่งนาและที่ราบชายป่าเชิงเขา เป็นแหล่งทำมาหาเลี้ยงชีพด้วยวิถีชุมชนคนพื้นเมือง ที่เพียบพร้อมไปด้วยความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติที่ถูกสรรสร้างอย่างลงตัวมาแต่อดีต
ก่อนถึงยอดขุนเขาต้นน้ำชั้นลึกสลับเป็นทิวทับซ้อนหลายชั้น จากทิศเหนือสู่ทิศตะวันออกถึง
ทิศใต้ จะเห็นมีเทือกเขาชั้นในทอดเป็นแนวยาวอีกชั้นหนึ่ง เปรียบดังเป็นกำแพงเมืองกั้นชั้นนอกไว้ ก่อนถึงเมืองใหญ่ เหมาะเป็นชัยภูมิที่ตั้งถิ่นฐานบ้านเมืองของผู้คน เพื่อผลิตเสบียงอาหารสะสมไว้ยามปกติสุข และยามรบทัพจับศึกเป็นอย่างยิ่ง ปรากฏหลักฐานแหล่งที่ตั้งบ้านเมือง ของกลุ่มคนเผ่าลัวะ ในอดีตตั้งแต่ก่อนพุทธศตวรรษที่ ๑๙ ตามตำนานได้กล่าวถึงฤๅษี ผู้นำคนชุมชนปกครองกันเองบนถิ่นฐานที่ตั้งพื้นที่ลุ่มน้ำ แอ่งเชียงใหม่-ลำพูน มีวิถีชีวิตสืบสานตามตำนานปรัมปรา ยึดความเชื่อเทพเทวา ภูตผี พราหมณ์ เป็นหลักปฏิบัติ ต่อมามีคนจากแหล่งวัฒนธรรมต่างพื้นที่โดยเฉพาะกลุ่มสายคนไท จีนฮ่อ ที่อพยพเคลื่อนย้ายลงมา จากแอ่งเชียงราย-เชียงแสน-พะเยา ได้เข้ามาสู่แอ่งเชียงใหม่-ลำพูน รวมกับกลุ่มคนมอญ(เม็ง)ดั้งเดิม ได้ผสมผสานระบบความเชื่อ วิถีการผลิต โดยใช้อารยะธรรมอินเดียและจีน นำแนวทางตามศาสนาพุทธและพราหมณ์ จัดระบบส่งสวยบรรณาการและการค้าเศรษฐกิจ ก่อนเกิดขึ้นของแว่นแคว้นรัฐล้านนา ที่เมืองเชียงใหม่เป็นศูนย์กลางราชธานีขึ้นไป จากร่องรอยมาแต่พุทธศตวรรษที่ ๑๓ ยุคที่รัฐหริภุญไชย(ลำพูน)เจริญรุ่งเรือง ได้นำพุทธศาสนามาใช้สอดคล้องระหว่างกันปรากฏหลักฐานเห็นเป็นกำแพงคูเวียงเมืองเก่า เจดีย์เก่า เขตคามวัดร้าง รวมถึงวัตถุโบราณศิลปวัตถุ รวมถึงก่อสร้างปั้นพระพุทธรูปดินเผา พระพิมพ์ดินเผา ตามแต่ละปางสมัย ทั้งองค์เล็กองค์ใหญ่ รวมทั้งปรับเปลี่ยนเคลื่อนย้ายเพื่อนำไปประดิษฐานในหัวเมืองต่าง ๆตามความเชื่อและศรัทธาเพื่อพึ่งพาบารมีแก่ผู้คนในความปกครอง แสดงการเปลี่ยนแปลงตามแต่ละยุคสมัยสืบทอดกันมา ในพื้นที่ราบลุ่มน้ำปิงฝั่งตะวันออก “ลุ่มน้ำแม่กวง”ที่ราบลุ่มขนาดใหญ่ ไปถึงเขตที่ราบเชิงเขา จากใต้จรดเหนือเรียงรายตามเส้นทางคมนาคมสัญจร ซึ่งเรียบเลาะไปตามสายน้ำหลัก และแม่น้ำสาขาย่อย โดยเฉพาะ “สายน้ำแม่โป่ง” มีเส้นทางผ่านของผู้คนที่สัญจรไปมาระหว่างเมืองเล็ก เมืองใหญ่ ด้วยการเดินเท้าและใช้ช้าง ม้า วัวควาย เป็นพาหนะ ได้แก่ วัวต่าง ม้าต่าง และล้อเกวียน สำหรับขนส่งแลกเปลี่ยนสินค้าและผลิตผลทางการเกษตร สมัยแต่ก่อนนั้นพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นป่ารก ป่าดิบ มีถนนหนทางเล็กๆ ผิวถนนเป็นทรายเป็นทางผ่านไปป่าเมี่ยง ใช้พาหนะในการเดินทาง และขนส่งคือ วัวต่าง ม้าต่าง เป็นจุดพักของพ่อค้ามาแวะพัก 1 คืน รุ่งเช้าเดินทางต่อไปยังป่าเมี่ยงของพ่อค้าแม่ค้าวัวต่าง ม้าต่าง ประชาชนส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกร ทำนา ทำสวน ปลูกยาสูบ มีการใช้เงินดวงตราซื้อขายแลกเปลี่ยนกันแล้วแต่ ส่วนใหญ่จะนำของมาแลกเปลี่ยนกัน เสื้อผ้าสมัยก่อน ราคาประมาณ 5 – 6 บาท น้ำที่ใช้ในการอุปโภคบริโภคมาจากบ่อน้ำ หรือน้ำบ่อที่แต่ละบ้านขุดเอง ปัจจุบันน้ำบ่อมีอยู่บางบ้านยังใช้ในการอุปโภค สำหรับน้ำบริโภคใช้น้ำประปา เริ่มมีการใช้ธนบัตรในช่วงประมาณรัชสมัยรัชการที่ 8 การแต่งกายด้วยผ้าพื้นเมือง กางเกงเตี่ยวสะดอ การจัดงานรื่นเริง มหรสพ ประเพณีต่างๆ คือวัดเป็นศูนย์กลาง
ในการจัดกิจกรรมต่างๆ ของหมู่บ้าน มีการสร้างบ้านเรือนประมาณ 100 หลัง หลังคามุงใบตองตึง ฝาบ้านจะเป็นฟากทำจากไม้ไผ่ ต่อมาก็จะเป็นบ้านไม้ปละปูน การประชุมหรือมีเหตุการณ์สำคัญใช้วิธีการประชาสัมพันธ์โดยการตีกะโหลกที่ทำจากไม้ ตีเป็นจังหวะที่ทุกคนต้องเข้าใจได้ในทันทีว่า ตีเพื่อประชุมหรือตีเพื่อบอกว่ามีเหตุร้าย เช่น ตีช้าเป็นจังหวะ เป็นการเรียกประชุม ถ้าตีรัวและเร็วเป็นการแจ้งว่าเกิดเหตุร้ายขึ้น การสื่อสารที่ไกลๆ จะใช้วิธีการบอก หรือฝากบอกต่อๆ กัน ยังไม่มีการเขียนจดหมาย ถ้าเจ็บป่วยมีหมอเมืองรักษา โดยใช้สมุนไพรเป็นยารักษา ไม่มีอนามัย ถ้าเจ็บป่วยหนักต้องเดินทางเข้ารักษาในเมือง ผู้ที่มีรถคันแรกของหมู่บ้าน คือ นายหมื่น วงคำปิ่น เป็นรถกระบะไม้ บ้านแม่โป่งเป็นบ้านที่มีโรงเรียนอยู่ในบริการโรงเรียนแรกในเขตแม่โป่ง ตามวิถีคนชุมชนคนพื้นที่ราบลุ่มจากเมืองหริภุญไชย(ลำพูน) ผ่านหัวเมืองเชียงใหม่ฝั่งตะวันออก ไปสู่เมืองเหนือ(เชียงราย) เมืองปาน และเมืองเขลางค์(ลำปาง) ผ่านช่องเขายอดดอยหลายแห่ง ได้แก่ยอดดอยนางแก้ว ยอดดอยลังกา ซึ่งเป็นพื้นที่ป่าต้นน้ำที่มีทั้งกลุ่มคนเมืองและชาวเขาตั้งถิ่นฐานอยู่เป็นระยะ ๆ
อดีตครั้งก่อนเมืองเก่าที่ตั้ง “ตำบลแม่โป่ง”
จากคำเล่าขานเคยมีเมืองหน้าด่านเมืองหนึ่งหายไป แต่ไม่ถูกบันทึกไว้เป็นหลักฐานยืนยัน ตั้ง
ซ่อนอยู่เชิงเขาแนวกำแพงสันเขาโอบล้อม อยู่ฝั่งทิศตะวันออกเยื้องไปทางทิศใต้ของลุ่มน้ำแม่กวง เปรียบดังเป็นเมืองลับแล ก่อนพุทธศตวรรษ ๑๙ พื้นที่ดังกล่าวเคยเป็นที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ของคนเมืองกลุ่มลัวะ มีการปกครองบ้านเมืองตามวิถีคนถิ่น ด้วยประเพณีความเชื่อพิธีกรรม บูชาผีปู่ ผีย่า ผีเสื้อบ้าน ผีป่า เทพาอารักษ์ มาแต่ดั้งเดิม และคล้ายคลึงกันอีกหลายเมืองในแผ่นดินลุ่มน้ำใหญ่ฝั่งตะวันออกนี้ ถึงต่อมาอิทธิพลยุคหริภุญไชยลำพูนรุ่งเรือง ได้นำพุทธศาสนามาเผยแผ่ มีการสร้างวัด สร้างเจดีย์ ปั้นหล่อพระพุทธรูป ไว้สักการบูชา รวมถึงนำมาจากบ้านเมืองอื่นทั้งเหนือและใต้ เพื่อเสริมสร้างบารมี ของผู้นำกลุ่มคนเมือง และแสดงถึงความเจริญเข้มแข็งทางวัฒนธรรม เศรษฐกิจความเป็นอยู่ รวมถึงสะสมกำลัง เพื่อรักษาบ้านเมือง โดยรวมกันตั้งบ้านเมืองตามบริเวณพื้นที่ลุ่มน้ำแม่ปิง และลุ่มน้ำกวง ซึ่งแยกมาตามสายน้ำย่อยสาขาถึง “ลุ่มน้ำแม่โป่ง”
จากหลักฐานเอกสารสรุปผลการสืบค้นของสำนักศิลปากรที่ ๘ เชียงใหม่ พบมีกลุ่มวัดร้างชื่อตามเรียกต่อกันมาว่า “วัดหลวงหนองงู” ลักษณะเป็นโบราณสถาน-โบราณวัตถุ อยู่กระจายเรียงรายเป็นกลุ่มใหญ่ ตามแนวเชิงเขาผืนป่ารกดก พื้นที่ราบเชิงเขา ณ บ้านห้วยอ่าง ซึ่งสันนิษฐานเป็นวัดที่ถูกสร้างขึ้นในอาณาเขตบริเวณเมืองเก่า ที่ตั้งอยู่ในเขตป่าเชิงเขาใกล้หนองน้ำใหญ่ ไหลสู่ผืนดินกว้างใหญ่สองฝั่งน้ำที่มีอุดมสมบูรณ์ ประกอบกับมีตำนานเล่าขานเคยเป็นดินแดนแห่งตำนานทางพุทธศาสนา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จมาที่วัดพระธาตุดอยจอมแจ้ง (ดอยชนแจ้ง) ซึ่งเป็นพื้นที่ป่าแหล่งต้นน้ำของลำน้ำแม่โป่ง เล็ก ๆ หลายสาย คือห้วยบ้านก้า(พันค่า),ห้วยป่าไร่,ห้วยแม่กาด เป็นต้น เคยเป็นเขตพุทธาวาสที่พระอริยสงฆ์สาวก ได้มาปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ณ วัดหลวงหนองงู แห่งนี้ และเป็นเขตธรรมทานสายทางบุญของครูบาเจ้าศรีวิชัย นักบุญแห่งล้านนาไทยและเส้นทางปฏิบัติธุดงค์กรรมของพระอริยสงฆ์ “หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต” และ ศิษยานุศิษย์ชื่อ หลวงพ่อลี ช่วงหนึ่งอาจเกิดสถานการณ์เปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ด้วยเหตุเพสภัยหรือล้มป่วยของผู้คน วัดและบ้านเมืองได้ล่มสลายคงทิ้งไว้ให้เห็นแต่สิ่งปรักหักพังซ่อนอยู่มาแต่โบราณกาล มีหลักฐานปรากฏชัดเจนหลายแห่งของแต่ละพื้นที่ชุมชนรอบท้องทุ่งกว้าง “ลุ่มน้ำแม่โป่ง”ที่ตั้งหลักปักฐานเป็นหมู่บ้านและตำบลแม่โป่งในปัจจุบัน
สภาพพื้นที่มาแต่อดีต
สภาพผืนแผ่นดินที่คงอุดมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติดินน้ำป่าที่สมบูรณ์เหมาะสม เป็นแหล่ง
เกษตรกรรมทำนา ทำสวน ผลิตพืชพันธ์ธัญญาหาร และเป็นท้องทุ่งเชิงป่าเลี้ยงช้างม้าวัวควาย สำหรับเป็นแรงงานและพาหนะทั้งยามปกติและเกิดศึกสงคราม เป็นที่ลุ่มสมกำลังป้องกันรักษาบ้านเมือง และเสริมสร้างบารมี ด้วยการทำบุญบำรุงพระพุทธศาสนาสร้างวัดวาอาราม เพื่อเป็นศูนย์กลางในการยึดถือศรัทธาผสมผสานด้วยการเคารพกราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไหว้ผีปู่ ผีย่า สร้างจิตใจไพร่พลให้เข้มแข็ง ตั้งแต่ยุคสมัยนครรัฐ แว่นแคว้น มาจนถึงยุคอาณาจักรล้านนามาแต่อดีต ตั้งแต่สมัยราชวงค์พญามังราย สร้างเมืองเชียงใหม่เป็นศูนย์กลางแห่งความเจริญรุ่งเรือง จนถึงยุคล้านนาเชียงใหม่เสียเอกราชแก่พม่าสมัยพระเจ้าหงสาวดี เมื่อปีพุทธศตวรรษที่ ๒๑ (ปี พ.ศ.๒๑๐๑) หัวเมืองต่าง ๆ ทั้งเหนือ ตะวันตก ตะวันออก ใต้ ต่างได้สู้รบเพื่อรักษาบ้านเมืองจนพ่ายแพ้แก่พม่า ผู้คนชนพื้นเมืองน้อยใหญ่ถูกทำร้ายล้มตาย ถูกทำลายศิลปกรรมโบราณสถาน โบราณวัตถุให้เสียหาย หลายเมืองถูกทิ้งเป็นเมืองร้าง วัดร้าง พร้อมๆ กับเมืองเชียงใหม่ในระยะหนึ่ง จนถึงสมัยพุทธศตวรรษที่ ๒๓ (พ.ศ. ๒๓๑๗) พระเจ้ากาวิละได้ตีเมืองเชียงใหม่คืนมาจากพม่า เป็นที่มาของการฟื้นฟูพัฒนา ได้รวบรวมผู้คนพื้นเมืองที่หลบหนีไปอยู่ตามป่าเขา “เก็บผักใส่ซ้า เก็บข้าใส่เมือง” อาณาจักรล้านนาจึงมีหลากหลายไปด้วยกลุ่มคนชนชาติพันธุ์ ลัวะ เม็ง ไทลื้อ ไทยวน ไทเขิน เงี้ยว ม่าน จีนฮ่อ ฯลฯ ที่มาจากรัฐฉานและสิบสองปันนา ต่อมาได้รวมกับสยามประเทศเป็นราชอาณาจักรไทย และในสมัยรัชกาลที่ ๕ แห่งราชวงศ์จักรี มีการปฏิรูปการปกครอง เป็นระบบมณฑลเทศาภิบาล เรียก “มณฑลพายัพ” และมีแขวง(อำเภอ)ซึ่งเปรียบเป็นเมืองหน้าด่าน จนถึงสมัยรัชกาลที่ ๗ ทรงเปลี่ยนแปลงการปกครองของประเทศไทย เมื่อปี พ.ศ.๒๔๗๕ ได้พัฒนาการการปกครองเป็นจังหวัดเชียงใหม่ และ อำเภอดอยสะเก็ด ซึ่งปรับเปลี่ยนมาจากแขวงน้ำแพร่ (เดิมตั้งอยู่บริเวณบ้านน้ำแพร่ ต.ตลาดขวัญ) ต่อมาย้ายที่ตั้งมาอยู่เชิงเขาดอยสะเก็ดซึ่งน้ำท่วมไม่ถึง ณ ที่ว่าการอำเภอดอยสะเก็ดตั้งอยู่ปัจจุบัน
ตำบลแม่โป่ง ถูกตั้งขึ้น ใน ปี พ.ศ.๒๔๗๖ ตั้งชื่อขึ้นตามนามเรียกขานของลำน้ำแม่โป่ง
ดินแดนลุ่มน้ำฝั่งตะวันออกน้ำปิง เป็นลำน้ำย่อยสายหนึ่งของ “ลุ่มน้ำสาขาแม่กวง” ซึ่งเริ่มต้นเกิดจากลำห้วย ๒ สายคือ ลำน้ำห้วยโป่งนก เกิดจากป่าต้นน้ำบริเวณรอบ ๆ โป่งพุน้ำร้อน (เขต อ.แม่ออน ปัจจุบัน) ไหลมาเป็นลำห้วยฮ่องไคร้ ห้วยหนองบ่อเย็น ห้วยต้นยาง และลำห้วยแม่กาด ซึ่งเกิดมาจากป่าต้นน้ำบริเวณดอยจอมแจ้ง น้ำไหลมาเป็นลำห้วยบ้านก้า (พันค่า)-ห้วยปางแม่เฮือ (บริเวณศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้ฯ) มาสบรวมกัน ณ บริเวณฝายพญาพรหม เรียกขานว่า “ลำน้ำแม่โป่ง”นอกจากนั้นยังคงมีลำห้วยสาขาย่อยอีกหลายสายที่เกิดขึ้นจากเทือกเขาหรือดอยน้อยใหญ่ ตั้งแต่ทิศเหนือ ทอดยาวไปทิศตะวันออก โอบมาทางทิศใต้ มีผืนป่าไม้เต็งรัง เบญจพรรณมากมาย ทั้งต้นเล็กต้นใหญ่เขียวขจีกระจายครอบคลุมเป็นพื้นที่ป่าต้นน้ำ มีสายธารธรรมชาติเล็กๆหลายสาย ได้แก่ ห้วยป่าไร่ ห้วยมะนะ ห้วยหัวไผ่ ห้วยบ่อทอง ห้วยเต๋ย ห้วยแม่จ้อง ห้วยบอน ห้วยหนองบ่อเย็น ห้วยต้นยาง ห้วยแสนวัด ห้วยหนองงู ห้วยหนองแมงดา ทุกสายไหลมาลงลำน้ำแม่โป่ง หล่อเลี้ยงผืนดินที่เป็นท้องทุ่งราบเอียงเชิงเขาและสองฝั่งซ้ายขวาตั้งแต่ต้นถึงปลายน้ำ
การอพยพและตั้งถิ่นฐาน
เขตพื้นที่สองฝั่งลุ่มน้ำแม่โป่ง ส่วนหนึ่งภูมิประเทศเป็นภูเขาเทือกเล็กและใหญ่ มีป่าไม้เบญจ
พรรณหลายชนิดที่ค่อนข้างอุดมสมบูรณ์ ประมาณ ๑๘,๑๒๐ ไร่ อีกส่วนหนึ่งเป็นพื้นที่ราบลุ่มลาดเอียงตามระดับ และเป็นแหล่งน้ำธรรมชาติ ประมาณ ๑๙,๖๓๑ ไร่ รวมพื้นที่ทั้งสิ้นประมาณ ๓๗,๗๕๑ ไร่ สภาพภูมิประเทศส่วนใหญ่ จะอุดมไปด้วยธาตุอาหารที่ค่อนข้างสมบูรณ์เหมาะสมต่อการทำการเกษตรกรรม ทำนา ทำสวน ทำไร่ และเลี้ยงวัว ควาย ช้าง ม้า ในอดีตผู้อาวุโสเล่าว่า พื้นที่ลุ่มน้ำแม่โป่ง บริเวณทุ่งหัวป่าไผ่และใกล้เคียง เคยเป็นที่เลี้ยงม้า เลี้ยงช้าง ของผู้ปกครองเมือง ชื่อ “พญาพรหม” ทำหน้าที่รักษาบ้านเมืองในยามศึกสงคราม เป็นแหล่งผลิตอาหารเป็นส่วนบรรณาการไปยังเมืองใหญ่ เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยและดำเนินชีวิตแบบชนบทดั้งเดิมด้วยภูมิปัญญา จนมาถึงยุคการพัฒนาเปลี่ยนแปลงการปกครองของบ้านเมืองมาจนถึงยุคล้านนา จึงเกิดเป็นพื้นที่แหล่งที่มาของการตั้งถิ่นฐานบ้านช่อง และเป็นแหล่งทำมาหากินของกลุ่มคนเมืองและสร้างบ้านเรือนเป็นที่อยู่อาศัย ทำอาชีพส่วนใหญ่คือทำเกษตรกรรม ทำนา ทำสวน ทำไร่ และเลี้ยงสัตว์(วัว ควาย) รวมถึงตัดไม้แปรรูป ทำฟืน เผาถ่าน และเป็นพื้นที่เส้นทางผ่านของผู้คนที่ทำการค้าขายทั้งในหมู่บ้านและระหว่างตำบล ต่อมามีการสัมปทานป่าไม้โดยราชการ และส่งเสริมการปลูกยาสูบ เกิดกิจการโรงบ่มใบยาสูบขึ้นในพื้นที่ ประกอบพื้นที่ตำบลแม่โป่ง เป็นเส้นทางเดินผ่านของผู้คนโดยการเดินเท้าและใช้พาหนะ วัวต่าง ม้าต่าง และล้อเกวียนเป็นพาหนะในการขนถ่ายสินค้าไม้ซุง ไม้ฟืน ไม้แปรรูปสำหรับสร้างบ้านเรือน ขนถ่ายสินค้า ของกินของใช้ แลกเปลี่ยนระหว่างผู้คนทั้ง ระหว่างบ้านและเมืองต่าง ๆ ตลอดมา
เนื่องจากพื้นที่ตำบลแม่โป่ง เป็นดินแดนแห่งอารยะธรรมของชุมชนคนพื้นเมืองตามวิถี
เกษตรกรรมพึ่งพาป่าไม้และสายน้ำแม่โป่ง ซึ่งเปรียบดังเป็นสายเลือดเส้นใหญ่ ในการหล่อเลี้ยงดำรงชีวิตแบบคนพื้นเมืองชนบทมาตลอด ประกอบกับสภาพสังคมชุมชนส่วนใหญ่พึ่งพาสิ่งแวดล้อมทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่อย่างสมบูรณ์ พร้อมไปกับการสร้างเสริมอย่างยั่งยืนทางจารีตประเพณีวิถีชนบท มีการก่อสร้างปรับปรุงบูรณะ วัดวาอารามศาสนา เป็นแหล่งศูนย์รวมยึดเหนี่ยวผูกพันทางจิตใจสืบสานไว้ด้วยวัฒนธรรมประเพณีที่ดีงามและความรักความศรัทธาอย่างต่อเนื่องมาแต่อดีต ถิ่นที่อยู่พื้นที่ตำบลแม่โป่ง หลังจากที่ได้รับพัฒนาการจากการเปลี่ยนแปลงการปกครองมาตั้งแต่ ปี พ.ศ.๒๔๗๖ เกิดกลุ่มคนพื้นเมืองได้มาตั้งถิ่นฐานทั้งคล้ายและแตกต่างกัน แต่ส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มเครือญาติดั้งเดิมของแต่ละวงศ์ตระกูล และมีอีกกลุ่มหนึ่งเป็นผู้คนที่ย้ายมาจากถิ่นอื่น ที่มาค้าขาย หรือประกอบอาชีพทั่วไป ตามประวัติการก่อตั้งและพัฒนาการของแต่ละหมู่บ้านได้มาตั้งถิ่นฐานอยู่ที่แม่โป่งนานแล้ว ตั้งแต่เกิดมาก็มีบ้านแม่โป่งแล้ว และไม่รู้ว่าใครเป็นผู้มาตั้งถิ่นฐานคนแรก มีถนนลาดยางใช้ในการเดินทางเมื่อ พ.ศ.2530 เริ่มมีไฟฟ้าประมาณ พ.ศ.2496 เชื่อมสายมาจากแม่ฮ้อยเงิน มีการเลี้ยงเจ้านายในเดือนเก้า หรือประมาณเดือนกรกฎาคม โดยแต่ละบ้านจะทำกับข้าวประเภทลาบหมู ลาบไก่ แล้วนำไปรวมกันถวายแด่เจ้านาย เพื่ออันเชิญมาปกป้องชาวบ้านไม่ให้ได้รับอันตรายจากภัยต่างๆ ทั้ง 4 ทิศ และไล่สิ่งไม่ดีต่างๆ ออกจากหมู่บ้านปัจจุบันมี 10 หมู่บ้าน แต่เมื่อก่อนมี ๖ หมู่บ้าน คือ
หมู่ที่ ๑ ชื่อ บ้านตลาดขี้เหล็ก
เป็นหมู่บ้านดั้งเดิมที่ก่อตั้งมาตั้งแต่ประมาณปี พ.ศ. ๒๔๒๐ เป็นต้นมา คำบอกเล่าว่าเริ่มต้นด้วยเกิดจากตระกูลพ่อค้าที่มาจากเมืองเหนือเชียงราย (อ.ท่าขี้เหล็ก เขตพม่า) ประกอบด้วย 5 หย่อมบ้าน คือ บ้านตลาดขี้เหล็ก บ้านท่ามะก๋ม บ้านห้วยก้า บ้านปางเรียบเรือ และบ้านแม่ฮ่องไคร้ แต่ปัจจุบันเหลือเพียง 4 หย่อมบ้านเนื่องจากบ้านแม่ฮ่องไคร้มีจำนวนประชากรเพิ่มขึ้นจึงแยกตั้งหมู่บ้านใหม่ ได้เข้ามาทำการค้าขายและตั้งรกรากหมู่บ้านขึ้น จึงตั้งชื่อบ้าน “กาดขี้เหล็ก” หรือ “ตลาดขี้เหล็ก”ตามถิ่นฐานเดิม อีกคำบอกเล่าหนึ่งเชื่อว่าเขตพื้นที่ป่าต้นน้ำที่ตั้งหมู่บ้านนี้มีต้นไม้ขี้เหล็ก อยู่เป็นจำนวนมาก และมีร้านค้าขายของให้แก่ผู้คนที่เดินทางผ่านสัญจร รวมถึง พ่อค้าวัวต่าง ม้าต่าง ที่ขนถ่ายใบเมี่ยง ใบชา เสบียงอาหารทั่วไป จึงเรียกชื่อว่า “บ้านกาดขี้เหล็กหรือตลาดขี้เหล็ก” ตั้งแต่นั้นมา และด้วยความเสื่อมใสในพระพุทธศาสนา ประวัติเล่าว่าองค์สัมมาสัมพุทธเจ้าเคยเสด็จที่ดอยจอมแจ้ง เลยได้ร่วมกันสร้างวัดพระธาตุดอยจอมแจ้ง ขึ้น เป็นศูนย์รวมของศรัทธามาตราบเท่าทุกวันนี้
บ้านตลาดขี้เหล็กมีขอบเขตการปกครอง 4.8 ตารางกิโลเมตร มีอาณาเขตติดต่อ ดังต่อไปนี้
ทิศเหนือ ติด สวนป่าห้วยหลวง หมู่ที่ 1 ต.เชิงดอย อ.ดอยสะเก็ด จ.เชียงใหม่
ทิศใต้ ติด บ้านแม่ฮ่องไคร้ หมู่ 8 อ.ดอยสะเก็ด จ.เชียงใหม่
ทิศตะวันออก ติด ศูนย์การศึกษา และพัฒนาห้วยฮ่องไคร้ฯ
ทิศตะวันตก ติด บ้านป่าไผ่ หมู่ 2 ต.แม่โป่ง อ.ดอยสะเก็ด จ.เชียงใหม่
สภาพภูมิประเทศทั่วไป
บ้านตลาดขี้เหล็กเป็นหมู่บ้านที่ติดกับพื้นที่ป่า มีพื้นที่ราบสลับลอนเนินเขา มีความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลางประมาณ 350 เมตร บริเวณทิศเหนือ ทิศตะวันออกและทิศตะวันตกเป็นพื้นที่ป่าต้นน้ำของชุมชน มีพื้นที่ประมาณ 2,800ไร่ สภาพเป็นป่าเต็งรังสลับป่าเบญจพรรณ อยู่ในสภาพค่อนข้าง สมบูรณ์ ทิศตะวันออกเฉียงเหนือเป็นพื้นที่ป่าใช้สอยของชุมชนมีพื้นที่ประมาณ 800 ไร่ ลักษณะเป็นป่าเต็งรังอยู่ในสภาพเสื่อมโทรม มีแหล่งน้ำสายหลัก คือ ลำน้ำแม่โป่ง และครองชลประทานจากเขื่อนแม่กวง แหล่งน้ำทั้งสองมีน้ำไหลจลอดปีเพียงพอต่อการอุปโภค บริโภค น้ำที่ใช้ในการเกษตรได้จากอ่างเก็บน้ำห้วยก้า และฝายน้ำล้น
หมู่ที่ ๒ บ้านป่าไผ่
เริ่มปักหลักฐานหมู่บ้านโดยกลุ่มคนพื้นเมืองในพื้นที่ที่เกี่ยวข้องผูกพันกับเจ้าผู้ครองเมืองในอดีต ได้ใช้พื้นที่ป่าไม้ ป่าไผ่ เทือกสวนไร่นาที่อุดมสมบูรณ์ สำหรับเป็นทุ่งหญ้าและชายป่าเลี้ยงช้าง เลี้ยงม้า เลี้ยงวัว เลี้ยงควาย จึงตั้งชื่อ “บ้านป่าไผ่”และอีกกลุ่มหนึ่งเป็นกลุ่มคนค้าขายยาสูบที่มาจากเมืองลำปาง(เมืองนครลำปางหรือละกอน) เล็งเห็นความอุดมสมบูรณ์ของพื้นที่ จึงได้ลงหลักปักฐานทำการเกษตรทำนา ทำสวน ดำรงชีพเลี้ยงครอบครัว ได้รวมก่อตั้งหมู่บ้านขึ้น ตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๔๖๙ มีตระกูลใหญ่ ๒-๓ ตระกูลที่ออกเป็นเสียง ท. หรือ ธ. ได้แก่ ตระกูลธาตุอินจันทร์, ทองคำฟู,ทาวรรณะ,ไทยใจอุ่น,เทโวขัติ,ทาอินทร์,ทูนกิจใจ,ทุนผลงาม,ทิศลังกา เป็นต้น บ้านป่าไผ่หมู่ที่ 2 ตำบลแม่โป่ง อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ ได้ก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ.2469 โดยมีนายสิงห์ ทิศลังกา เป็นผู้ใหญ่บ้านคนแรก มีลักษณะภูมิประเทศเป็นที่ราบใกล้เชิงเขา ที่มาของชื่อหมู่บ้านเนื่องจากพื้นที่ก่อนที่จะมีการตั้งเป็นหมู่บ้านจะมีต้นๆไผ่เป็นจำนวนมาก ชาวบ้านจึงใช้เป็นชื่อหมู่บ้าน “บ้านป่าไผ” สภาพการคมนาคมในสมัยนั้นไม่มีถนนติดต่อกับหมู่บ้านอื่น มีแต่ทางเกวียน หรืออาศัยเดินตามคันนา เพื่อเข้าไปยังตัวอำเภอ จนกระทั่งในสมัยนายจันทร์วรรณ ทุนกิจใจ เป็นผู้ใหญ่บ้านในปี พ.ศ.2491 ได้นำชาวบ้านไปเก็บก้อนหินบนดอยรอบๆ หมู่บ้าน มาปรับถมถนนทางเข้าสู่หมู่บ้าน ต่อมาได้มีผู้จิตศรัทธา คือ พ่อนวล ธาตุอินจันทร์ ได้เสียสละบริจาคที่ดินเพื่อสร้างถนนจากวัดป่าไผ่เข้าสู่หมู่บ้าน ระยะทางประมาณ 700 เมตร จึงตั้งชื่อถนนนี้ว่า “ถนนนวลประชาราษฎร์อุทิศ”
ขนาดและอาณาเขตติดต่อ
บ้านป่าไผ่มีขอบเขตการปกครองประมาณ 5.6 ตารางกิโลเมตรหรือประมาณ 3,523 ไร่ มีอาณาเขตติดต่อ ดังนี้
ทิศเหนือ ติด บ้านห้วยบ่อทอง หมู่ที่ 10 ต.แม่โป่ง อ.ดอยสะเก็ด จ.เชียงใหม่
ทิศใต้ ติด บ้านห้วยอ่าง หมู่ที่ 6 ต.แม่โป่ง อ.ดอยสะเก็ด จ.เชียงใหม่
ทิศตะวันตก ติด บ้านห้วยบอน หมู่ที่ 3 ต.แม่โป่ง อ.ดอยสะเก็ด จ.เชียงใหม่
ทิศตะวันออก ติด บ้านตลาดขี้เหล็ก หมู่ที่ 1 ต.แม่โป่ง อ.ดอยสะเก็ด จ.เชียงใหม่
สภาพภูมิประเทศทั่วไป
บ้านป่าไผ่ตั้งอยู่บริเวณที่ราบเชิงเขา ทิศตะวันออกของหมู่บ้านเป็นภูเขา ลักษณะเป็นป่าเต็งรัง ที่ตั้งบ้านเรือนและพื้นที่การเกษตรส่วนใหญ่เป็นที่ราบลุ่มระหว่างภูเขากับที่ราบเชิงเขา มีลำน้ำแม่โป่งซึ่งมีเป็นลำน้ำธรรมชาติไหลผ่าน
การจัดการทรัพยากรป่าไม้
บ้านป่าไผ่ได้มีการบริหารจัดการภายในชุมชน โดยอาศัยกระบวนการมีส่วนร่วมในการศึกษาสภาพปัจจุบัน ปัญหา ค้นหาจุดเด่น จุดด้อย วิเคราะห์หาสาเหตุ ตลอดถึงความจำเป็นในการแก้ไขปัญหา และแนวทางความต้องการพัฒนาชุมชน โดยคำนึงถึงประสบการณ์ และทุนที่ปรากฏในชุมชนจากสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ เพื่อเสริมสร้างศักยภาพให้ชุมชนพึ่งตนเอง จึงได้กำหนดการจัดการทรัพยากรในรูปแบบของคณะกรรมการพัฒนาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในหมู่บ้าน โดยจัดตั้งคณะกรรมการเพื่อบริหารจัดการ และดูแล โดยอาศัยกระบวนการมีส่วนร่วมเพื่อฟื้นฟู อนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมทั้งภายในและรอบชุมน พร้อมทั้งมีการจัดตั้งกลุ่มสมุนไพรพื้นบ้านและหมอเมือง เพื่อฟื้นฟูอนุรักษ์ สืบทอดภูมปัญญาพื้นบ้าน อันสอดคล้องกับการจัดการทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ชุมชน
ต่อมาร่วมกันสร้างวัดเป็นศูนย์รวมจิตใจ ขึ้นที่วัดป่าไผ่ และโรงเรียนป่าไผ่ ขึ้นในหมู่บ้าน ต่อมาได้ย้ายมาสร้างที่บ้านห้วยบ่อทองในปัจจุบัน
หมู่ที่ ๓ บ้านห้วยบอน
เริ่มก่อตั้งเป็นหมู่บ้านขึ้นประมาณ ปี พ.ศ. ๒๔๗๖ หลังจากมีการก่อตั้งตำบลแม่โป่งขึ้น โดยกลุ่มคนพื้นเมืองที่อาศัยอยู่ตั้งแถบใกล้ป่าเชิงเขาและทุ่งนาฝั่งทิศใต้และตะวันตก ของป่าเทือกดอยผาเผิ้ง ที่แบ่งเขตระหว่างตำบลป่าป้องและตำบลแม่โป่ง ปัจจุบัน เป็นพื้นที่ลำน้ำห้วยเล็กใหญ่ไหลผ่าน ก่อนลงสู่ทุ่งนามีต้นบอนขึ้นตามร่องห้วย ลำเหมืองมากมาย จึงตั้งชื่อว่า “บ้านห้วยบอน” ตั้งแต่นั้นมา.
ประวัติความเป็นมา
บ้านห้วยบอนเป็นชุมชนที่ตั้งมาเป็นระยะเวลานาน หมู่บ้านหนึ่งของตำบลแม่โป่ง มีเนื้อที่ประมาณ 650 ไร่ ลักษณะอาณาเขตติดต่อ
ภูมิประเทศทั่วไป
บ้านห้วยบอนมีสภาพภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นที่ราบสำหรับเป็นพื้นที่ตั้งบ้านเรือนและที่ทำกิน มีพื้นที่ป่าติดกับทิศเหนือของหมู่บ้าน สภาพเป็นป่าเต็งรัง มีความอุดมสมบูรณ์ปานกลาง มีลำน้ำสายหลักที่ใช้ในการเกษตร 2 สาย คือ น้ำจากคลองชลประทานแม่กวงอุดมธารา และน้ำจากระบบแระปาหมู่บ้านที่ใช้ร่วมกับหมู่บ้านป่าไม้แดง
หมู่ที่ ๔ บ้านแม่โป่งหลวง
เป็นหมู่บ้านเก่าแก่มีทำเลที่เหมาะสมอยู่สองฝั่งลุ่มน้ำแม่โป่ง บ้านแม่โป่งหลวงเป็นหมู่บ้านที่มีประวัติความเป็นมายาวนานในอดีต เป็นที่ตั้งเมืองเก่า มีผู้ปกครองเมืองชื่อพ่อขุนแสนประชิด ประชาการ แม่โป่งมีลักษณะเป็นแอ่งน้ำ มีน้ำตลอดปีเกิดขึ้นกลางหมู่บ้าน จึงนำมาตั้งเป็นชื่อหมู่บ้าน หมู่บ้านแม่โป่งมีท้องทุ่งนากว้างใหญ่ล้อมรอบบริเวณหมู่บ้าน เป็นศูนย์กลางของชุมชนกลุ่มคนพื้นเมือง เป็นแหล่งทำมาค้าขายของพ่อค้าแม่ค้าและผู้มาจากถิ่นอื่น ต่อมามีคลองชลประทานผาแตกจากเขื่อนแม่กวงฯไหลผ่านอีกสายหนึ่ง อีกกลุ่มหนึ่งมีอาชีพดั้งเดิมหาของป่า หาปู หาปลา และรับจ้างทั่วไป มีความหลากหลายของผู้คน
กาดอุ้ยสา
กาดอุ้ยสาตั้งอยู่ในเขตบ้านแม่โป่งหลวงหมู่ที่ 4 เป็นพื้นที่ของกรมชลประทาน แต่เดิมมีสภาพเป็นหิน พื้นผิวขรุขระ เมื่อประมาณ 14 – 15 ปีก่อน กำนัน โกศล ธรรมพุทธ ในขณะนั้นได้มีความคิดจะปรับพื้นที่เพื่อทำตลาด เห็นว่าทางอำเภอสันกำแพงมีกาดอุ้ยทา จึงคิดว่าจะเรียกกาดนี้ว่า กาดอุ้ยสา ตามชื่อของเจ้าของบ้านที่อยู่หน้าตลาด ในระยะแรกๆ มีคนมาขายของเพียงสองสามราย และเพิ่มจำนวนขึ้น ปัจจุบัน อุ้ยสา ที่ถูกนำมาใช้เป็นชื่อเรียกตลาดได้เสียชีวิตไปแล้วหลายปี เหลือเพียงแต่ลูกหลานที่ปัจจุบันเปิดร้านเป็นร้านขายของ
กาดอุ้ยสาเป็นตลาดที่ขึ้นชื่อเรื่องผลิตภัณฑ์อาหารจากป่า ขายในราคาย่อมเยา ด้วยความที่มีชื่อเสียงทำให้คนที่ผ่านไปมา หรือคนในตำบล อำเภอใกล้เคียง มาจับจ่ายซื้อของ อย่างคึกคัก
วัดเป็นศูนย์รวมทางพระพุทธศาสนาถึง ๒ แห่ง คือวัดพระนอนแม่โป่ง และวัดดอยปล่อยนก เป็นที่ตั้งของสถานีตำบลภูธรแม่โป่ง สถานีอนามัย(ต่อมาได้ย้ายมาไว้ ข้าง ทต.แม่โป่ง) มีตลาดสด ตลาดนัด รวมถึงสถานศึกษาประจำตำบล (โรงเรียนแม่โป่งประชาสามัคคี) ได้เกิดการพัฒนาและปรับปรุงเปลี่ยนแปลงมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่อดีต โดยผู้นำระดับตำบล ตำแหน่งกำนันตำบลแม่โป่ง จะอยู่ในหมู่บ้านนี้เป็นส่วนใหญ่ จึงตั้งชื่อว่า “ บ้านแม่โป่งหลวง” มาจนถึงปัจจุบัน
หมู่ที่ ๕ บ้านพระนอนแม่โป่ง
เป็นหมู่บ้านที่มีลำห้วยหรือลำน้ำแม่โป่งไหลผ่านจากทิศตะวันออกไปยังทิศตะวันตก มีความยาวประมาณ 1,800 เมตรเศษ ลำน้ำแม่โป่งเป็นลำน้ำที่ไหลมาจากยอดดอย 3 สาย โดยสายที่ 1 มาจากยอดดอยจอมแจ้ง ไหลผ่านห้วยแม่ก๊าในอดีต ปัจจุบันได้พัฒนาเป็นอ่างเก็บน้ำห้วยก้า สายที่ 2 มาจากยอดดอยหล่อหน้อย และดอยหล่อหลวง และวังมนหน้อย วังมนหลวง ไ